วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บุคคลที่ทำประโยช์นให้ชาติไทย






ดร.จีน แบร์รี




นักบวชนิกายโรมันคาธอลิกชาวแคนาดา เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2469 ที่เมืองคิวเบค ประเทศแคนาดา สำเร็จการศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการให้คำปรึกษาและการบริหารงานกิจกรรมนิตสิตนักศึกษา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานด้านการศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2511 ท่านมีบทบาทสำคัญยิ่งในวงการศึกษาของประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และทำหน้าที่รักษาราชการแทนคณบดีคณะศึกษาศาสตร์เมื่อแรกเริ่มจัดตั้ง เป็นผู้ทำคุณประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยขอนแก่นอย่างมากในด้านการแนะแนว จิตวิทยาการปรึกษา การศึกษา วิจัย การเขียนตำรา บทความทางวิชาการ และการใช้นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน




ดร.จีน แบร์รียังได้ี่ร่วมงานกับดร.สายสุรี จุติกุล ในการจัดตั้งห้องสมุดซึ่งเป็นแหล่งบริการทางวิชาการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานเทียบเท่าาสถาบันในอารยประเทศ มีบทบาทสำคัญในการจัดหาเอกสารวิชาการ หนังสือ สิ่งตีพิมพ์ในสาขาวิชาการศึกษา เป็นการวางรากฐานในการจัดตั้งห้องสมุดคณะศึกษาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตั้งชื่อห้องสมุดคณะศึกษาศาสตร์ว่า "ห้องสมุด จีน แบรี่ คณะศึกษาศาสตร์" เพื่อเป็นเกียรติประวัติและแสดงมุทิตาจิตแด่ ดร. จีน แบรี




ท่านยังเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนของคณะจิตวิทยาและสหสาขาวิชาเพศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดูแลให้การช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่นิสิตที่พักในบ้านเซเวียร์ วางรากฐานการศึกษาและการใ้หคำปรึกษาในประเทศไทย ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในสังคมไทย โดยทำงานวิจัยโครงการโรคเอดส์ สภากาชาดไทย และเป็นผู้วางระบบงานบริหารให้กาีรปรึกษาแก่ผู้ตรวจเลือดสำหรับโรคเอดส์แบบนิรนาม และร่วมบุกเบิกก่อตั้งคลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย ศูนย์ปรึกษาคุณภาพชีวิต ศูนย์วิจัยและพัฒนาเพศศาสตรศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งเป็นผู้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรไทยในหน่วยงานต่างๆ ให้มีความรู้และทักษะในการให้คำปรึกษาประเด็นที่อ่อนไหวและยากต่อการให้การปรึกษา




กว่า 40 ปีที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ท่านเป็นผู้ที่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทย จนได้รับการยกย่องเป็นปูชนียบุคคลด้านจิตวิทยาการปรึกษาและแนะแนว จากสมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย และได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยขอนแก่น




ปัจจุบันแม้ท่านจะมีอายุมากถึง 83 ปีแล้วก็ตาม ท่านยังคงปฏิบัติภารกิจต่างๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มุ่งมั่นทุ่มเทด้วยความเสียสละ และอุทิศตนให้กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง นับเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่างในฐานะครูอาจารย์ผู้มีจิตเมตตา ทำงานโดยไม่้เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย


พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท)


พระราชประวัติ


พญาลิไท หรือ พระยาลิไท หรือ พระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรม-ราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชา ๑ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระยาเลอไทและพระราชนัดดา(หลานปู่) ของพ่อขุนรามคำแหง ครองราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๐ แต่ไม่ทราบปีสิ้นสุดรัชสมัยที่แน่นอน สันนิษฐานว่าอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๑๙๖๖ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงเป็นแบบฉบับของกษัตริย์ในคติธรรมราชา ทรงปกครองบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนสุโขทัยกลายเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา และทรงปฏิบัติพระองค์ชักนำชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์ หลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงว่าพระองค์มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกเป็นอย่างดี ได้แก่ วรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง วรรณคดีชิ้นแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ที่ทรงนิพนธ์ขึ้นตั้งแต่ก่อนเสวยราชย์หลังจากทรงเป็นรัชทายาทครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ ๘ ปี จึงเสด็จมาครองสุโขทัยเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๐ โดยต้องใช้กำลังทหารเข้ามายึดอำนาจเพราะที่สุโขทัยหลังสิ้นรัชกาลพ่อขุนงัวนำถมแล้วเกิดการกบฏการสืบราชบัลลังก์ ไม่เป็นไปตามครรลองครองธรรม



พระราชกรณียกิจที่สำคัญ



- การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ เพราะสุโขทัยหลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว บ้านเมืองแตกแยกแคว้นหลายแคว้นในราชอาณาจักรแยกตัวออกห่างไป ไม่อยู่ในบังคับบัญชาสุโขทัยต่อไป


- พญาลิไททรงคิดจะรวบรวมสุโขทัยให้กลับคืนดังเดิม แต่ก็ทรงทำไม่สำเร็จ นโยบายการปกครองที่ใช้ศาสนาเป็นหลักรวมความเป็นปึกแผ่นจึงเป็นนโยบายหลักในรัชสมัยนี้


- ทรงสร้างเจดีย์ที่นครชุม (เมืองกำแพงเพชร) สร้างพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก


- ทรงออกผนวช เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๕ การที่ทรงออกผนวช นับว่าทำความมั่นคงให้พุทธศาสนามากขึ้น ดังกล่าวแล้วว่า หลังรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว บ้านเมืองแตกแยก วงการสงฆ์เองก็แตกแยก แต่ละสำนักแต่ละเมืองก็ปฏิบัติแตกต่างกันออกไป เมื่อผู้นำทรงมีศรัทธาแรงกล้าถึงขั้นออกบวช พสกนิกรทั้งหลายก็คล้อยตามหันมาเลื่อมใสตามแบบอย่างพระองค์ กิตติศัพท์ของพระพุทธศาสนาในสุโขทัยจึงเลื่องลือไปไกล พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายรูปได้ออกไปเผยแพร่ธรรมในแคว้นต่างๆ เช่น อโยธยา หลวงพระบาง เมืองน่าน พระเจ้ากือนา แห่งล้านนาไทย ได้นิมนต์พระสมณะเถระไปจากสุโขทัย เพื่อเผยแพร่ธรรมในเมืองเชียงใหม่ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพญาลิไท มีมเหสีชื่อพระนางศรีธรรม ทรงมีโอรสสืบพระราชบัลลังก์ต่อมา คือ พระมหาธรรมราชาที่สอง ปีสวรรคตของกษัตริย์ พระองค์นี้ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่คงอยู่ในระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๒๑-๑๙๒๗